saostar

Banner โฆษณา

วิระชัย ตรวจตู้ลักลอบขนกากอิเล็กทรอนิกส์ เข้าประเทศ


รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย  รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ที่ลักลอบบรรจุขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าไทย สำแดงเป็นสแครปพลาสติก ที่ท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือเคอรี่ สยาม ซีพอร์ต เตรียมดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง

วันนี้( 29 พ.ค.) พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยนายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ,นายชูชัย อุดมโภชน์  ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร และนายยุทธนา  พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ได้ร่วมกันแถลงการจับกุมตู้คอนเทนเนอร์  สำแดงว่าเป็นสแครปพลาสติก แต่เมื่อเอกซเรย์แล้วพบว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยใบขนสินค้าระบุเป็นของ บริษัทฮ่องเต้  พลาสติก จำกัด ตั้งอยู่ที่เลขที่ 7  หมู่ 15 ต.นาฤกษ์ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี  โดยต้นทางนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น

โดยเมื่อเจ้าหน้าที่เปิดตู้คอนเทนเนอร์ตรวจสอบ พบเป็นเครื่องเกมเก่า ,มีสายไฟและแผลงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก จึงถือว่าเป็นการสำแดงเท็จและกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งถือว่าสินค้าดังกล่าวเป็นกากขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นขยะอันตรายและห้ามนำเข้าประเทศ  ดังนั้นผู้ที่นำเข้าดังกล่าวจึงมีความผิด 1.ฐานสำแดงเท็จ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ศุลกากร มาตรา 202 มีโทษปรับไม่เกิน 5แสนบาท  2. หลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรโดยเจตนาและฉ้อโกงภาษีของนั้นๆอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ศุลกากร มาตรา 243  มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับ 4 เท่าของราคา ซึ่งในครั้งนี้สำแดงราคา  70,000 กว่าบาท โดยจะถูกปรับ 3 แสนกว่าบาท

นอกจากนั้น 3. ผู้ใดนำเข้าซึ่งสินค้าต้องห้ามตามมาตรา 5  วงเล็บ 1  หรือฝ่าฝืนตามมาตรา 7 วรรค 1 ตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 5 แสนบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  และ 4. ผลิตนำเข้าส่งออกหรือมีไว้ในครอบครอง โดยนำเข้าซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 3  โดยไม่ได้รับอนุญาต จึงมีความผิดตาม พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 มาตรา 23 วรรค 1  โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยจะดำเนินคดีทั้ง 4 ข้อหากับผู้ที่นำเข้าสินค้าดังกล่าว รวมถึงยึดสิ่งที่ใช้ในการขนส่ง และยานพาหนะนอกจากนั้นถ้านำเข้ามากี่ตู้ ก็ผิดตามจำนวนครั้ง  โดยดำเนินคดีต่างกรรมต่างวาระ ซึ่ง 2  ตู้ ก็ต้องคูณ 2 โดยจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สำหรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ ดังกล่าว จาการตรวจสอบพบว่ามาจากหลายประเทศ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น หรือประเทศที่เจริญแล้ว จะไม่มีการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศ  ซึ่งประเทศญี่ปุ่นมีกฎหมายกำหนดไว้ว่า ผู้ที่ทำการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จะต้องรับผิดชอบในการทำลายซากและผลิลิตภัณฑ์นั้นๆ

โดยการตรวจสอบตู้สินค้าที่สำแดงเท็จในครั้งนี้ เป็นของบริษัทแอ็บโซลูท  เพาเวอร์เวิลด์ จำกัด  จำนวน  2  ตู้ ที่ บริษัท เคอร์รี่ สยามซีพอร์ต  จำกัด และของบริษัทฮ่องเต้  พลาสติก จำกัด   จำนวน 5  ตู้  โดยที่บริษัท เคอร์รี่ สยามซีพอร์ต 4 ตู้ และ ที่ท่าเรือ C 3  ท่าเรือแหลมฉบัง 1 ตู้

ด้านนายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม  กล่าวว่า การตรวจครั้งนี้ เป็นการตรวจการอนุญาตนำเข้าเศษพลาสติก ซึ่งไม่อยู่ในรายการของอนุสัญญาบาร์เซล คือไม่ใช่ของเสียอันตราย  แต่เป็น พ.ร.บ. ที่กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบ  แต่เนื่องจากเศษพลาสติกเหล่านี้จะนำเข้าสู่โรงงานจึงมอบให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม  เป็นผู้พิจารณาอนุญาตโควต้านำเข้า  โดยอนุญาตอย่างถูกต้อง แต่การนำเข้าไปเป็นไปตามที่อนุญาต แต่นำซากอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาแทน  ซึ่งถือว่าเป็นการสำแดงเท็จ

ขยะลิเล็กทรอนิกส์ต่างๆนั้น   กรมโรงงานจะอนุญาตให้กับโรงงานที่มีใบอนุญาต รีไซเคิลเท่านั้น คือ ใบอนุญาต 106  และปริมาณนำเข้าจะสอดคล้องกับกำลังการผลิตของโรงงานนั้นๆ  แต่ขณะนี้พบว่ามีช่องโหวบางส่วนที่ผู้นำเข้าสามารถสำแดงเท็จได้  ดังนั้นทางกรมโรงงานอุตสาหกรรม ,สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมศุลกากร จะประชุมและหามาตรการในการกำกับดูแลในเรื่องนี้

นายบรรจง  กล่าวต่อไปว่า   สำหรับนโยบายในอนาคตเกี่ยวกับการนำเข้ากากอิเล็กทรอนิกส์  เนื่องจากอนุสัญญาบาร์เซล ในรายการอิเล็กทรอนิกส์อยู่ในการนั้นแล้ว  แต่ถ้าประเทศไทยจะยกเลิกการนำเข้า ต้องนำเข้าสู่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ  หากคณะกรรมการฯเห็นชอบก็จะแจ้งไปยังอนุสัญญาบาร์เซล ว่าขณะนี้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติของประเทศไทย ขอแบรนสินค้าดังกล่าวไม่ให้นำเข้า ก็จะถือว่าเป็นการยกเลิกเศษขยะดังกล่าวโดยสิ้นเชิง

หลังจากนี้ กระบวนการนำเข้าเศษวัสดุอันตรายหรือขยะอิเล็กทรอนิกส์  จากท่าเรือ โดยกรมศุลกากรอนุมัติแล้ว กระบวนการจากท่าเรือไปสู่โรงงานนั้น จะมีการออกกฎระเบียบการดูแลที่เข้มงวดและรอบครอบ เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการสามารถหลีกเลี่ยงออกไปได้  เพราะที่ผ่านมาไม่ได้กำกับดูแลอย่างเข้มงวด จึงเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น ดังนั้นจะต้องมีขบวนการที่เข้มงวดต่อไปหลังจากนี้





ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ