กรมชลประทาน
ดำเนินการพัฒนาโครงข่ายน้ำภาคตะวันออกในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง
และจันทบุรี โดยได้ทำการศึกษา
และติดตามการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขและติดตามผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมให้หลากหลายครอบคลุมทุกมิติ
เพื่อสนับสนุน และรองรับความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกในอนาคต
วันนี้
( 31 ต.ค.
) นายประพิศ จันทร์มา รองอธิบดีกรมชลประทาน ลงพื้นที่มาดูความคืบหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่ชลประทานภาคตะวันออก
รองรับ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
(EEC) ภายใต้ยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0
ทำให้เกิดการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และภาคบริการ
ในพื้นที่ภาคตะวันออก
ซึ่งส่งผลทำให้ความต้องการใช้น้ำเพิ่มมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สำนักงานชลประทานที่ 9 ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จ.ชลบุรี
โดยมีตัวแทนจากอีสวอเตอร์ และผู้อำนวยการชลประทานในพื้นที่เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
สำหรับแนวทางดำเนินการเพื่อรองรับความต้องการน้ำระยะ
10 ปี เพื่อจัดหาน้ำให้เพียงพอความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นอีกกว่า 354 ล้าน
ลบ.ม. ต่อปี โดยการพัฒนาแหล่งน้ำในประเทศให้มีศักยภาพเพื่อการเกษตร ร่วมกับ EEC
รวมถึงการผันน้ำจากลุ่มน้ำข้างเคียงนอกพื้นที่ EEC ที่อยู่ภายในประเทศ
มาเติมให้กับอ่างเก็บน้ำบางพระ
ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนสำหรับความต้องการใช้น้ำในทุกภาคส่วน
กรมชลประทานได้กำหนดยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงด้านน้ำ
เพื่อรองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก 6 ด้าน ประกอบด้วย
1.)
การปรับปรุงแหล่งน้ำเดิม จำนวน 9 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำคลองใหญ่
อ่างเก็บน้ำดอกกราย อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล จังหวัดระยอง อ่างเก็บน้ำหนองค้อ
อ่างเก็บน้ำบ้านบึง อ่างเก็บน้ำมาบประชัน อ่างเก็บน้ำคลองหลวง จังหวัดชลบุรี อ่างเก็บน้ำคลองสียัด
อ่างเก็บน้ำคลองระบม จังหวัดฉะเชิงเทรา
เพื่อศักยภาพในการเก็บกักน้ำเพิ่มขึ้นรวมอีก 117 ล้าน ลบ.ม.
จากเดิมสามารถเก็บกักน้ำได้ 871.10 ล้าน ลบ.ม.
2.) การพัฒนาอ่างเก็บน้ำในลุ่มน้ำคลองวังโตนด
จังหวัดจันทบุรี จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ อ่างคลองวังโตนด อ่างเก็บน้ำคลองประแกด อ่างคลองพะวาใหญ่
อ่างเก็บน้ำคลองหางแมว จังหวัดจันทบุรี รวมความจุประมาณ 308 ล้าน ลบ.ม.
ส่งน้ำเพื่อการเกษตรกว่า 170 ล้าน ลบ.ม. ให้แก่พื้นที่การเกษตรในเขตชลประทานกว่า
234,000 ไร่ อีกทั้งสนับสนุนน้ำให้โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ได้กว่า 100 ล้าน ลบ.ม.
3.) การเชื่อมโยงแหล่งน้ำและระบบผันน้ำ จำนวน 2
แห่ง ได้แก่ โครงการปรับปรุงคลองพานทอง ทำการผันน้ำไปยังอ่างเก็บน้ำบางพระ
ให้เต็มศักยภาพ โครงการผันน้ำอ่างเก็บน้ำประแสร์-หนองค้อ-บางพระ
เพื่อรองรับการบริหารจัดการร่วมกับการผันน้ำจากลุ่มน้ำวังโตนด
4.) การสูบน้ำกลับท้ายอ่างเก็บน้ำ จำนวน 2 แห่ง
ได้แก่ ปรับปรุงระบบสูบกลับอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล
และการสูบน้ำกลับจากคลองสะพานไปยังอ่างเก็บน้ำประแสร์
สามารถเพิ่มปริมาณน้ำได้ประมาณ 55 ล้าน ลบ.
ม. 5.)
การป้องกันน้ำท่วมพื้นที่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรม จำนวน 2 แห่ง ได้แก่
พื้นที่ในเขตเมืองระยอง และพื้นที่อุตสาหกรรม เขตอำเภอพนัสนิคม และอำเภอพานทอง
จังหวัดชลบุรี และ
และ 6.) การจัดหาแหล่งน้ำโดยภาคเอกชน โดย
บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EAST
WATER การประปาส่วนภูมิภาค และการนิคมอุตสาหกรรม สามารถช่วยเพิ่มปริมาณน้ำได้กว่า
62 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี
ทั้งนี้
กรมชลประทาน
ได้ตระหนักถึงความสำคัญของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
สามารถช่วยกระตุ้นการลงทุน และพัฒนาโครงการพื้นฐาน
ให้เกิดการกระจายรายได้ให้กับคนในพื้นที่ ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อย่างยั่งยืน
ความคิดเห็น
/