จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง นำตรวจ "เรือสินค้าขนาดใหญ่" ความยาวมากกว่า 300 เมตรแต่ไม่เกิน 400 เมตรเข้ามาเทียบท่าได้ เพื่อแก้ปัญหาตู้สินค้าส่งออกขาดแคลน ช่วยการส่งออกเพิ่มขึ้นกว่า 35,000 ล้านบาท ชี้ความร่วมมือ "พาณิชย์-ภาคเอกชน-กรมเจ้าท่า"
วันนี้ ( 26 พ.ค.2564) นายจุรินทร์
ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะลงพื้นที่ ฮัทชินสันพอร์ท
ท่าเทียบเรือ D1 ท่าเรือแหลมฉบัง
อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมการนำเรือขนาดมากกว่า 300 เมตร
แต่ไม่เกิน 400 เมตรเข้ามาในประเทศไทย
คือเรือสินค้า MSC Amsterdam เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้าของประเทศไทย
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ กล่าวว่า สถานการณ์การส่งออกของไทย
โดยเฉพาะในปี 2564
ตัวขับเคลื่อนสำคัญคือการส่งออกและต้นปีนี้การส่งออกก็เป็นบวก
เดือนมีนาคมเป็นบวกถึง 8.47% และเดือนเมษายนบวกถึง 13.09%
และยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
การส่งออกเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
การแก้ปัญหาการส่งออกจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ
การส่งออกประกอบด้วยการขนสินค้าทางบก ทางอากาศและทางเรือ
การขนส่งสินค้าทางเรือมีประเด็นปัญหาคือตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรจุสินค้าเพื่อลงเรือส่งออกขาดแคลนเนื่องจากก่อนเกิดสถานการณ์โควิดมีการส่งสินค้าไปสหรัฐและสหภาพยุโรปจำนวนมากแต่ส่งสินค้ากลับมาน้อย
ตู้ไปค้างอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
แต่ประเทศจีนมีศักยภาพสามารถนำตู้ไปใช้ในการส่งออกได้มาก
สำหรับประเทศไทยมีการประชุม
กรอ.พาณิชย์ การท่าเรือร่วมกับภาคเอกชนมาโดยใกล้ชิดได้ข้อสรุปว่าจากนี้ไปจะแก้ปัญหาโดยจะเปิดโอกาสให้เรือขนาดใหญ่ขนาด
300-400 เมตรเข้ามาเทียบท่าที่ท่าเรือแหลมฉบังได้จะช่วยให้
ลดต้นทุนการขนตู้เปล่าและตู้ที่มีสินค้าเข้ามา ซึ่งจะทำให้มีตู้เปล่าที่ส่งสินค้าออกได้มากขึ้น
ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้การท่าเรือแก้ประกาศจับประกาศใหม่อนุญาตให้เรือ
300-400 เมตรเข้าเทียบท่าได้ ซึ่งขณะนี้มีเรือขนาดใหญ่เข้ามาหลายลำแล้วตั้งแต่วันที่
8 กุมภาพันธ์ 2564
และ 17 เมษายน 2564 20
เมษายน 2564 และวันที่ 5
พฤษภาคม เป็นลำใหญ่ขนาด 399 เมตร สามารถบรรทุกตู้เข้ามาได้ประมาณ 12,000
ตู้ และวันนี้เรือสินค้า MSC Amsterdam ขนาด 399
เมตรสามารถบรรทุกตู้เปล่าเข้ามาได้ประมาณ 4,000
ตู้ สามารถบรรจุสินค้าลงไปได้ประมาณ 80,000 ตัน
คิดเป็นมูลค่าสินค้าที่ส่งออกประมาณ 6,000 ล้านบาท
และยังมีอีกสองลำที่จะเข้ามาวันที่ 2 มิถุนายน 395
เมตรและ 19 มิถุนายน 398
เมตร
" รวมแล้วทั้งหมดจะเป็น
7 ลำ สามารถบรรทุกตู้เปล่าเข้ามาประมาณ 23,000
ตู้ สามารถขนสินค้าออกไปได้ประมาณ 458,000
ตันรวมมูลค่าให้การส่งออกเพิ่มขึ้นจากการได้ตู้เปล่าประมาณ 35,000
ล้านบาท คือผลที่เป็นรูปธรรมจากการร่วมกันแก้ปัญหาระหว่างกระทรวงพาณิชย์
ภาคเอกชนและกรมเจ้าท่า
ขณะนี้ตู้เริ่มเข้าสู่สภาวะสมดุลความต้องการใช้ตู้เปล่าเดือนหนึ่งประมาณ
128,000 ตู้ เรามีตู้ประมาณ 130,000
ตู้ เริ่มเข้าสู่สภาวะสมดุลแล้ว
แต่ต้องติดตามสถานการณ์และกรมเจ้าท่าต้องอำนวยความสะดวกโดยเร็วที่สุด
เปิดโอกาสให้เรือขนาดใหญ่เอาตู้เปล่าเข้ามาและเราส่งสินค้าออกไปได้มากขึ้นจะช่วยให้ตัวเลขส่งออกของเราเป็นบวกได้ต่อและจะเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ต่อไป
ความคิดเห็น
/