ท่าเรือแหลมฉบัง
เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียด ในรายงานการประเมินผลกระทบ
สวล. โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 1 เพื่อจัดการบริหารท่าเทียบเรือชุดบี
รองรับการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังที่อาจจะมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีปริมาณตู้สินค้ามากขึ้น
พร้อมทำการปรับปรุงพื้นที่หลังท่าให้เหมาะสมต่อการขนส่งสิค้า
วันนี้(22 พ.ค.)นายสัญชัย
ชนะสงคราม
ผู้อำนวยหารส่วนสิ่งแวดล้อมสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดชลบุรี
เป็นประธานเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็น การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียด
ในรายงานการประเมินผลกระทบ สวล. โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 1 โดยมี
เรือเอกกานต์ เมนะรุจิ รองผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง น.ส.นัฐอนันตา
จินดาพงศ์เจริญ ผู้อำนวยการกองแผนงานท่าเรือแหลมฉบัง นายทวีพงษ์ จันทร์งาม
นักวิชาการขนส่งชำนาญการพิเศษ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค
สาขาชลบุรี ผู้แทนหน่วยงานราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน
และนักวิชาการที่ประชุมรับฟังความคิดเห็น การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียด
ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 1 ณ
ห้องประชุมโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีท ศรีราชา-แหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
นายสัญชัย ชนะสงคราม
ผู้อำนวยหารส่วนสิ่งแวดล้อมสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดชลบุรี
กล่าวว่า การรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้
เพื่อเป็นการให้ข้อมูลกับประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับรายละเอียดโครงการที่จะเกิดขึ้นและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมทั้งขอบเขตการศึกษา
และการประเมินทางเลือกโครงการ เพื่อนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากการรับฟัง
มาใช้ประกอบการศึกษาและการจัดทำรายงานฯให้ครบถ้วน ดังนั้นการจัดงานดังกล่าว
เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
สามารถใช้เป็นช่องทางในการร่วมรับรู้ข้อมูลข่าวสาร
การดำเนินกิจกรรมของท่าเรือแหลมฉบัง ในการเปลี่ยนแปลง ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม เช่น ต่อชุมชน ท้องถิ่น และประเทศชาติ
ที่จะดำเนินโครงการต่อไป
เรือเอกกานต์ เมนะรุจิ
รองผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง กล่าวว่า การรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้
เกี่ยวกับเรื่องโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 1 ในส่วนของท่าเทียบเรือชุด
B ที่จะหมดสัมปทานในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
ดังนั้น ทางท่าเรือฯ จึงทำการศึกษาในเรื่องของแผนธุรกิจ ว่าจะมีรูปแบบอย่างไรต่อไป
ซึ่งหากมีการปรับเปลี่ยน อาจจะทำให้รูปแบบธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงไปนั้น
และไม่ตรงกับ อีไอเอ. ที่มีการศึกษาเอาไว้
ดังนั้นจึงต้องมีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอีกครั้งว่าการดำเนินการปรับเปลี่ยนธุรกิจมีผลกระทบอย่างไรกับภาคเอกชนและสิ่งแวดล้อมบ้าง
สำหรับการดำเนินการในส่วนของท่าเทียบเรือชุด B
ซึ่งมีท่าเทียบเรือ 5 ท่า และจะหมดสัมปทานในเร็วๆ นี้
ดังนั้นการท่าเรือจึงต้องเร่งทำการศึกษาแบบธุรกิจ แต่ทางด้านกายภาพ
จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของท่า เช่น ความลึกก็ยังคงไว้ที่ 14 เมตร
ในระดับน้ำทะเลปานกลางก็จะคงความลึกเช่นเดิม หน้าท่าก็จะมีความยาวรวมเท่าเดิม
แต่ได้มีการศึกษาไว้ เช่น จะมีการแบ่งท่าเทียบเรือเดิม จำนวน 5 ท่า
ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนขนาดของเท่า แต่จำนวนท่าอาจจะลดลง
ซึ่งส่งผลดีต่อการประกอบธุรกิจ และสร้างรายได้ต่อการท่าเรือเพิ่มขึ้น
โดยจากการศึกษาเบื้องต้น จะลดจำนวนท่าจาก 5 ท่าเทียบเรือ
เหลือจำนวนเท่าไรนั้น ขณะนี้รอประกาศจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
จึงมีผลกระทบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ขออนุญาตไว้ตั้งแต่แรก
ดังนั้นจึงต้องมีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมซ้ำอีกครั้ง
เพื่อยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงในฝั่งท่าเทียบเรือชุด B ในอนาคต
จะไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชน หรือสิ่งแวดล้อมต่างๆในพื้นที่
สำหรับการรับฟังความคิดเห็นนั้น จะต้องดำเนินการ 2 ครั้ง
เพื่อทำรายงานให้ สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมทราบต่อไป
นายทวีพงษ์ เผยว่า
การประชุมรับฟังความคิดในครั้งนี้ เป็นการทบทวนรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
ซึ่งโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 1 นั้น ได้รับความเห็นชอบ จาก สผ.แล้ว
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 และการดำเนินการในครั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีมาก
จะได้มีการศึกษาใหม่ในทุกๆด้านที่จะเกิดขึ้น
เนื่องจากท่าเรือแหลมฉบังจะมีการการเปลี่ยนแปลงผู้ประกอบการใหม่ในปี พ.ศ. 2568
หลังผู้ประกอบการเดิมหมดสัญญา และจะมีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นที่บริเวณด้านหลังท่าฯ
ซึ่งจะทำให้การจราจร ,ปริมาณตู้สินค้าเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
แต่พื้นที่โครงสร้างท่าเทียบเรือต่าง ๆไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ความยาว ,ความลึก
และ ขนาดความยาวเรือ ตามข้อกำหนดของกรมเจ้าท่า แต่ในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ประชาชนในพื้นที่ยังมีความเป็นห่วง
ด้านปัญหาการจราจร , การเชื่อมต่อเส้นทางในการสัญจร “หากประชาชน
ยังมีข้อวิตกกังวล ก็ข้อให้เสนอแนะ เพื่อสื่อถึงหน่วยงานราชการต่างๆในพื้นที่
และที่สำคัญขณะนี้โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ที่
กำลังเกิดขึ้น โดยท่าเรือแหลมฉบังจะต้องมีการชี้แจงสิ่งต่างๆที่มีการเปลี่ยนแปลงและเกิดขึ้น
เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ที่อยู่ในพื้นที่ อีอีซี
” นายทวีพงษ์ กล่าว
นายรุ่งระวี โสดานา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2
ต.บางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี กล่าวว่า ตัวแทนชุมชน
ในพื้นที่ที่อาจจะเกิดผลกระทบต่อโครงการดังกล่าว เผยว่า
ตนเองได้คิดตามการขยายท่าเรือแหลมฉบังตั้งแต่ระยะที่ 1 จนถึงปัจจุบัน
และในครั้งนี้ ท่าเรือแหลมฉบังมีคางการที่จะ
ปรับเปลี่ยนรายละเอียดหลังท่าเทียบเรือชุดบี
โดยการขยายพื้นที่หลังท่าเทียบเรือให้มีขนาดใหญ่และยาวขึ้น ซึ่งเดิมยาว 200-300
เมตร เป็น 400 – 500 เมตร โดยจะยาวกว่าเดิม
เพื่อสามารถรองรับตู้สินค้าที่เพิ่มมากขึ้น และสามารถรองรับเรือสินค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามพวกเราก็ยังเป็นห่วงในเรื่องของการจราจร บนฝั่ง
นอกจากนี้ยังมีความกังวลในเรื่องของผลกระทบเนื่องจากเมื่อมีขนาดท่าเรือใหญ่ขึ้นและยาวขึ้น
ผลกระทบก็จะเพิ่มตามมาด้วย ในด้านของสิ่งแวดล้อม เช่น ด้านเสียง และคุณภาพน้ำเสียจากเรือสินค้า
ดังนั้นหากท่าเรือแหลมฉบัง จะดำเนินการพัฒนาต่อ ก็ขอให้ดูแล ด้าน EHIA ให้ดีขึ้นและเข้มงวดขึ้นจากเดิม
เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนที่อยู่โดยรอบของการเจริญเติบโตในครั้งนี้
ความคิดเห็น
/